ข้อควรระวัง ควรรู้ไว้ก่อนเลือกเรียนไวโอลินให้ลูก ไม่มีคำว่าเรียนล่ม (ตอนที่ 2)
4. แก้ไขสิ่งที่ผิดนั้น ยากกว่าการลืมทุกอย่างแล้วฝึกใหม่ตั้งแต่ต้น: ลองจินตนาการดูครับว่าในตัวเรามีนิสัยอะไรบ้างที่แย่ๆ และอยากจะแก้ไข แต่แก้ยังไงก็ไม่หาย (ที่ผู้ใหญ่ชอบเรียกว่าสันดานเสียนี่แหล่ะครับ)
นิสัยเสียเหล่านี้ไม่ใช่แก้ไม่ได้นะครับ แต่มันแก้ยากมากกกก!!! ในการฝึกไวโอลินก็เหมือนกัน ถ้าเด็กได้ฝึกนิสัยในการเล่นที่ไม่ดีซักอย่าง ครูจะต้องมาเสียเวลาไล่แก้กันบางเรื่องหลายเดือนทีเดียว ทั้งๆ ที่ถ้าไม่เคยผิดมาก่อนแทบจะใช้เวลาฝึกแค่อาทิตย์เดียวก็ทำได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นการเลือกครูที่มีความรู้ความเข้าใจในการสอนจึงนับเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ครับ (ซึ่งเดี๋ยวนี้การ Scan back ground ครูทำได้ไม่ยากครับ ลองหารีวิวใน Pantip อะไรพวกนี้ก็ได้)
5. ถ้าเด็กยังไม่พร้อมอย่าบังคับ: เด็กแต่ละคนมีความพร้อมไม่เหมือนกันครับ ลูกศิษย์ของผมที่อายุน้อยที่สุดที่เคยสอนเลยคืออายุ 3 ขวบครึ่ง ซึ่งน้องมีความหลงไหลในไวโอลินอย่างมาก และยังสมาธินิ่งอีกด้วย ผมเลยตกลงโอเครับสอนเด็กอายุน้อยขนาดนี้ แต่นั่นไม่ได้หมายถึงว่าเด็กอายุ 3 ขวบครึ่งจะพร้อมเรียนไวโอลินนะครับ ฉะนั้นแล้ว ลองให้เด็กได้ไปทดลองเรียนกับครูผู้สอนดูซักครั้ง ถ้าครูมีประสบการณ์มากพอจะสามารถบอกได้ครับว่าลูกของคุณพร้อมจะเริ่มเรียนดนตรีรึยัง
สุดท้ายนี้ขอให้ผู้ปกครองทุกคนที่กำลังคิดจะส่งลูกเรียนไวโอลินได้เจอกับครูดีๆ เก่งๆ นะครับ^^
ติดตามบทความดีๆ เกี่ยวกับการเรียนดนตรี (รวมถึงตอนที่ 1 ของบทความนี้ด้วย) ได้จาก Page: MusIQmethod ได้อีกนะครับ ถ้าชอบอย่าลืม Like page กันด้วยนะครับ
แล้วถ้าไม่เคยเรียนโน๊ตหรือดนตรีมาก่อนเลย ควรจะไปศึกษาเองก่อน แล้วค่อยไปเรียนคอร์สไวโอลินทีหลังหรือไม่
คือสนใจอยากเรียน แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากทำสิ่งที่ตัวเองสามารถทำได้ก่อน
ในส่วนที่เป็นทฤษฎีดนตรี วิธีอ่านโน้ตนั้น สามารถศึกษาเองก่อนได้เลยครับ แต่ในส่วนของวิธีการเล่นพื้นฐานนั้นไม่ควรศึกษาเองก่อนเป็นอย่างยิ่งครับ เพราะถ้าผิดมาจะแก้ไขได้ยากมากครับ
จริงๆแล้วจะเป็นกลับกันมากกว่าคือ ถ้าเรียนพื้นฐานไปแล้ว อยากศึกษาเพิ่มเติมหรือหาเพลงเล่นเองนอกบทเรียน อันนี้จะมีประโยชน์กับผู้เรียนมากกว่าครับ